วันจันทร์, พฤษภาคม 15

๐๐๗ : ภู - พระ - สมรภูมิ

หายไปน๊าน นาน แต่หัวยังอยู่ดี ไม่หายไปไหน
กลับมาทักทายบล็อกเก่าอีกครั้ง (อันที่จริงก็ทักได้แต่บล็อกเก่าๆ และคนแก่ๆ เอาล่ะ สวัสดีตัวตนครับ)

เริ่มเรื่อง

- อยู่กทม.เรียนพิเศษ
- พาบักหำน่อยไปแข่งคณิต
- กินไข่ต้มเคล้าความฮา
- ดูตะวันขึ้นที่เขาค้อ
- ดูตะวันตกที่ภูหินร่องกล้า
- ไหว้พระ
- กลับบ้าน

จบเรื่อง

ก๊ากๆ สะใจ บอกตอนจบแล้วเฟ้ย คราวนี้ก็มาเข้าเรื่อง

หลังจากเป็นเด็กเต้บมาได้ซักเดือน ก็มีอันต้องจรลีต่อไปโคราชเมืองย่าโม พาไอ้น้องชายไปสอบคณิตศาสตร์

.....เวลาผ่านไป....... ผมกะพ่อก็เดินดูนิทรรศการ เถียงกะคนเฉลยข้อสอบ เข้าห้องน้ำ กินหนม และแอบงีบ .....เวลาผ่านไป.......

ผลปรากฏว่าไอ้น้องเจริญรอยตามผมจริงๆ พอสอบเสร็จมันทำหน้าระรื่นบอก ทำได้ ตั้ง 8 ข้อแน่ะ (จาก 30 ข้อ - -")

.....เวลาผ่านไป.......

มันเดินหน้าระรื่นมาบอกว่า ไอ้แปดข้อน่ะ สรุปแล้วได้ศูนย์คะแนน (แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะ...เวร ตามพี่มันจริงๆ)

ตอนเย็นๆ ก็มีการเฉลยข้อสอบ ...ตามไปอ่านต่อที่ ปล. ละกัน ตอนนี้ยังไม่อยากเสียอารมณ์

หลังจากนั้นก็เป็นรายการเที่ยวครับ ไปโคราชก็ต้องไปไหว้ย่าโม (ไปตอนกลางคืน อากาศเย็นสบาย คนก็น้อย ที่จอดรถก็หาง่าย ... ลอดประตูชุมพลมาเรียบร้อย เค้าว่าถ้าลอดประตูนี้แล้วจะได้กลับมาเยี่ยมอีก (จริงป่าววะ) (แต่เห็นแม่ผมเค้าบอกว่าตอนผมเล็กๆ ก็เคยมาลอดแล้ว))...ไปถึงเห็นมีคน (เด็กๆ และวัยรุ่น) ขะมักเขม้นช่วยกันถูกรอบๆ ลานอย่างสนุกสนาน สอบถามได้ความว่ามาแก้บนกัน ไอ้ผมเลยสนุกเข้าไปแจมมั่ง สรุป ได้ถูลานย่าโมมารอบนึงแล้วครับ รู้สึกดีใจ๊ดีใจ (ทีนี้กูก็รู้แล้วว่าจะเอาความดีอะไรไปโพนทะนาเวลาเค้าให้เขียนสมุดบันทึกความดี และเวลาประกวดมิสทิฟฟานี่)

รุ่งขึ้นก็ไปต่อที่ปราสาทหินพิมาย ที่นี่มียุวมัคคุเทศก์ด้วยนะ นำเที่ยวโดยไม่คิดตังค์ แต่มีสิ่งนึงที่พวกเราเห็นแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน นั่นคือ บันไดไม้ที่สร้างทับไปบนบันไดปราสาทหิน และแล้วในที่สุดเจ้าคุณพ่อกระผมก็ได้ฝากให้มัคคุเทศก์สาวของเราไปต่อสู้ในฐานะนักเรียน ใครเป็นชาวโคราชมาอ่านลองหันกลับไปดูสักนิดนะครับ ปราสาทหินพิมาย เป็นโบราณสถานสำคัญ แสดงให้เห็นอารยธรรมของไทยเรา แล้วปล่อยให้เอาไม้ ซึ่งเป็นอะไรไม่รู้ไปตอกไปพาดให้มันสูญเสียความน่าเกรงขามไป คิดดีๆ นะครับ ระหว่างความสะดวกสบายในการเดินเข้าออก กับภาพลักษณ์ของสถานที่อะไรสำคัญกว่ากัน



ปราสาทหินพิมายแบบเต็มๆ ใช้โฟโต้ช็อปแต่งสีนิดหน่อย



ทายซิ อะไรเอ่ย
(เฉลย หีบสมบัติ)



เจ้าถิ่น (สังเกตท่านั่งท่านสิงห์สิ)



จากนั้นก็ไปไทรงาม ต้นไทรเยอะดี ข้างๆ มีบึงน้ำให้เด็กๆ โดดน้ำเล่น
เห็นแล้วอยากถ่าย(รูป)มากๆ แต่ดันแบตหมด (ฮ่วย - -")

หมดแล้วครับประสบการณ์เที่ยวโคราช พอเสร็จข้าวเที่ยงปั๊บเราก็ควบอีซูซุดีแมกซ์ปุเลงๆ ขึ้นเขาค้อกันต่อ เห็นบักถั่วบอกสวยนัก อยากรู้จริงว่าจะสวยแค่ไหน ขึ้นถึงยอดเขา ลงไปติดต่อที่พักที่ทุ่งแสลงหลวง พอลงจากรถปุ๊บผมก็วิ่งลงทุ่งไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก สวยแบบธรรมดาๆ ดีครับ
คืนนั้นเรานอนเต็นท์กัน จุดเทียนตามไฟ ฟังเสียงหรีดหริ่งเรไรกล่อมนอน อากาศเย็นตลอดเวลายิ่งกว่าเปิดแอร์ แต่ไม่ให้ความรู้สึกอึดอัดเหมือนเปิดแอร์ เรียกได้ว่า แม้ไม่มีไฟ ไม่มีทีวี คืนนี้เราก็ไม่เดือดร้อน




รุ่งขึ้นตื่นเช้ามาดูตะวันขึ้น หมอกลงจนแทบไม่เห็นตะวัน
แต่ก็ได้ภาพตะวันโผล่ทิวสนสามใบมาสวยเหมือนจับวาง



ครึ่งวันเที่ยวอยู่บนเขาค้อ ไปดูพระตำหนักเขาค้อ หอสมุดนานาชาติ และก็อนุสาวรีย์ผู้เสียสละในยุทธการปราบคอมมิวนิสต์ที่เขาค้อ ที่ข้างๆ อนุสาวรีย์มีสนามเพลาะที่คงสภาพเดิมไว้ให้ดู เชื่อมั้ยครับ วิวบนเขานี่สวยเหลือเชื่อ มองเห็นเมือง บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา ขณะเดียวกันมันก็เป็นชัยภูมิที่ดีเยี่ยมในการสังเกตการณ์ และซุ่มโจมตี ดังนั้นเขานี้จึงเป็นที่ตั้งมั่นของเหล่าคอมมิวนิสต์ และเป็นเหตุให้เกิดการนองเลือดระหว่างคนไทยด้วยกัน...



มุมหนึ่งของพระตำหนัก



ท้องฟ้าที่พระตำหนักสวยมากครับ




ศาลาหลวงพ่อทบมุมสงบแห่งหอสมุดนานาชาติ



ภูมิใจเสนอ



อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ



เดินทางขึ้นภูต่อ คราวนี้ขึ้นภูหินร่องกล้า ได้บ้านพัก(ไม่มีแอร์ ทีวี และพัดลม)แล้ว เห็นป้ายหน้าบ้านบอกจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ลานหินแตกระยะทางไม่ไกลสามารถเดินเท้าได้ เราก็ยกโขยงพากันเดินขึ้นไป บนภูหินร่องกล้านี้ก็เป็นสมรภูมิไทยสู้ไทยเหมือนกัน ดังนั้นทุกตารางเมตรจึงเป็นสนามรบ เดินไปก็เห็นป้ายสักการะเหล่านักสู้ ที่ลานหินแตกนั้นก็เช่นกัน ผาหินที่แตกเป็นร่องเล็กร่องน้อยทำให้เกิดความชื้นสะสม ทั้งกล้วยไม้ ทั้งเฟินขึ้นเกาะตามหินเรื่อยไป แต่ที่เห็นมากที่สุดคือกุหลาบพันปีสีขาวที่บานสะพรั่งทั้งหุบหิน แต่กาลก่อนนี้เพียงไปกี่สิบปีที่แห่งนี้ก็เป็นบังเกอร์ชั้นดีที่ใช้หลบบังกระสุน และระเบิดในสมรภูมิรบ...

เดินถึงสุดผาปรากฏว่าอีกตั้งชั่วโมงกว่าตะวันจะตก ก็นั่งเล่นกันอยู่บนนั้น มีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันอยู่ประมาณ 4-5 คน สักพักเริ่มมี พระ... ครับพระสงฆ์นุ่งเหลืองห่มเหลือง โดดข้ามหินขึ้นมาที่ละรูปๆ รวมแล้วประมาณ 20 กว่ารูป รวมทั้งมีอุบาสกอุบาสิกาตามขึ้นมาด้วย อีก 5-6 คน ซึ่งที่จริงแล้วนักท่องเที่ยวที่ถ่ายรูปแชะๆ ตอนที่เรามาถึงนั้นก็เป็นอุบาสิกาคณะเดียวกัน

ภิกษุสงฆ์เหล่านั้นขึ้นมาถึงพอพร้อมเพรียงกันแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำแมว นั่งทำวัตรสวดมนต์กันทันที ไอ้ผมก็นั่งเอ๋อ พนมมืออือออไปกะเค้า ถามว่าแปลกมั้ยที่จู่ๆ เกิดมีพระขึ้นมาทำวัตรเย็นกันบนหน้าผา อันนี้ผมว่าไม่แปลก เพราะขึ้นมานั้นผมว่าจริงๆ แล้ว นั่นก็เป็นการธุดงค์รูปแบบหนึ่ง เหมือนการออกค่าย แล้วเท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่ก็คงเป็นเณร กับพระหนุ่มๆ เณรก็คือเด็ก ย่อมอยากรู้ อยากเห็น อยากเที่ยว หากแต่อยู่ในผ้าเหลืองที่กำหนดให้ผู้ครองผ้านี้สงบ และสำรวม ดังนั้นการเที่ยวเล่นหัวจึงเป็นเรื่องยาก ทางวัดจึงจัดในรูปแบบการธุดงค์ ศึกษาธรรมชาติ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติ ก็คือการศึกษาแก่นของธรรมะ เพียงแต่ทำให้ดูผ่อนคลายขึ้นในรูปแบบของการธุดงค์เที่ยวท่อง หลวงพ่อเป็นผู้ดูแล ไม่ให้เหล่าเณรๆ นั้นเจี๊ยวจ๊าวเกินเหตุ ขณะเดียวกันหลวงพ่อก็สอน สอดแทรกธรรมศึกษาลงในการเที่ยวนั้นด้วย เรียกได้ว่า พาเที่ยวครั้งเดียวได้กำไรสองต่อ (หลวงพ่อยิงนกไม่ได้เดี๋ยวบาป)



ทำวัตรบนหน้าผา



หลังจากแสงตะวันสะท้อน...เอ่อ...เป็นประกายว้อบแว้บเข้าตาได้ชั่วครู่ ก็คล้อยต่ำลง จากนั้นก็เป็นรายการถ่ายรูปๆๆ และเดินลงเขา และกินข้าว (พนักงานเสิร์ฟเป็นกะเทยด้วย แล้วก่อนนั้นไอ้น้องชายผมก็เผอิญหลุดปาก-เซ็นเซอร์-แฟนพันธุ์แท้ปลาทะเลที่แอบตุ๊ด ไม่รู้นาย..เอ่อ..นาง..เอ้อ ช่างเหอะ เด็กเสิร์ฟคนนั้นเค้าได้ยินเปล่า แต่เห็นเสิร์ฟโต๊ะผมสุดท้ายเลยง่ะ เฮ้อ.. กว่าจะผ่านมื้อนั้นได้ สยิวกิ้ว)



มนุษย์เลเซอร์! (พ่อผมเองแหละ)



ตะวันลับกลีบเมฆ



ตื่นเช้ามาก็กะจะไปชมตะวันขึ้นที่ผาชูธงซะหน่อย ขับรถไปได้ซักพัก เอ๊ะ นี่มันทิศตะวันตก ผมเลยเอาโบรชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวมาดู ปรากฏว่าผาชูธงมันเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก แล้วจะให้กูขึ้นไปชมตะวันขึ้นทำแมวไรละครับ ก็กลับไปนอนต่อสิ

หลังจากนั้นก็ตามรูปครับ ขึ้เกียจเล่าต่อและ เมื่อย




ป้ายนั่นเขียนว่า
หลุมกระสุน
อนุสรณ์แห่งการประหัตประหาร
ของคนไทยด้วยกันที่แตกต่างเพียงอุดมการณ์



สำนักอำนาจรัฐ
ทำเนียบรัฐบาลของฝ่ายคอมมิวนิสต์



บ้านพักของเหล่าสหาย



ผาชูธง
สถานที่ซึ่งฝ่ายคอมมิวนิสต์ใช้ชูธงค้อนเคียว
ทุกครั้งที่มีชัยเหนือฝ่ายรัฐบาล ปัจจุบันมีธงไตรรงค์ตั้งอยู่อย่างถาวร



ลานหินปุ่ม
สถานพยาบาลผู้บาดเจ็บ



กังหันน้ำ
ใช้ทุ่นแรงตำข้าว ป้ายภาษาไทยบอกสร้างโดยนักศึกษา ม.ขอนแก่น
แต่ภาษาอังกฤษบอกจุฬาฯ แล้วกูจะเชื่อใครล่ะครับ








เออ ว่าจะเขียน ปล. ยาวๆ แต่ขี้เกียจ งั้นก็สั้นๆ ละกัน

ปล. ไอ้ที่ผมจะบอกก็คือ ตอนเย็นที่มีการเฉลยข้อสอบ เด็กๆ ก็เข้าไปนั่งกันเต็มห้องประชุม ผมขี้เกียจเบียดก็เลยมานั่งดูถ่ายทอดสดที่ทีวีข้างนอก กรรมการที่เฉลยข้อสอบก็

"อ๋อข้อนี้ง่ายมาก แก้สมการสองตัวแปร"
"ข้อนี้ก็ง่าย ใช้ทฤษฎีบทของวงกลม พีทากอรัส ยูคลิด อะโบเดเบ๊กะจะมะอุ๊ส รองรับ"


ไอ้ผมนี่อยากจะลุกไปถีบหน้ากรรมการเฉลยข้อสอบ แต่กลัวทีวีเขาพัง ไม่มีตังค์ใช้
ถามจริงๆ เถอะครับ ไอ้ที่พูดมาน่ะ เด็กประถมมีเรียนมั้ย จริงอยู่มีเด็กบางกลุ่มทำได้ อธิบายได้ นั่นก็เป็นเด็กที่ได้รับการติวมาเพื่อสอบ ถ้าพวกเขาเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าให้เด็กจำข้อสอบมาทำนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการฆ่าเขาทั้งเป็น เลยนะครับ การเฉลยก็ไม่ได้ทำให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องกระจ่างขึ้นมาสักนิด บางทีการออกข้อสอบยากๆ ก็ไม่ได้วัดเด็กเสมอไป แต่มันเป็นการอวดภูมิของผู้ออก ของผู้เฉลยมากกว่า แล้วนั่นมันจะไปเกิดประโยชน์อะไรกับเด็กๆ ล่ะครับ ผมเห็นเด็กบางคน ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แล้วคนเฉลยก็ดีแต่พูดว่าข้อนี้ก็ง่ายข้อนั้นก็ง่าย เลยพาลคิดไปว่าตนเองไม่แน่จริง ไม่เก่ง จนบางครั้งทำให้เหม็นเบื่อสิ่งที่ตนเองพยายามจะทำไปเลย จุดนี้ ถึงแม้ว่าการสอบคัดเลือกจำเป็นต้องมีการแข่งขันเพื่อนคัดเด็กที่แน่จริงออกมา แต่คนที่อธิบายให้เด็กฟังควรมีจิตสำนึกที่เข้าถึงเด็กบ้างนะครับ พูดให้กำลังใจเข้าบ้าง ไม่ใช่พูดแต่ให้คนที่ทำได้ผยองว่าข้าแน่ ข้าเก่ง ข้าทำได้ แล้วเหยียบให้คนที่ทำไม่ได้ เสียใจ จมดินลงไป

ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยเพราะผมนั้นก็ผ่านสนามสอบมาแล้วมากมาย เป็นทั้งผู้ชนะ ผู้แพ้ เคยเห็นมาหมดแล้วทั้งคนที่ชนะแล้วดีใจ แพ้แล้วเสียใจ แพ้แล้วเอาความเจ็บใจนั้นฮึดสู้ใหม่ หรือแพ้แล้วกดตัวเองให้จมอยู่แต่กับความพ่ายแพ้

ผมโชคดีที่มีครอบครัว ครู และเพื่อนที่มองโลกในแง่ดี ใช้คำพูดเป็น ปลอบใจเป็น กระตุ้นให้สู้เป็น สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี และไม่เคยมองความผิดพลาดเป็นความพ่ายแพ้ แต่นั่นกลับกลายเป็นค่าประสบการณ์ให้ผมได้พยายามครั้งใหม่ให้มากกว่าเดิมชนะตนเองให้ได้ ข้ามขีดจำกัดตัวเองให้ได้ แล้วจะชนะโลกเอง

ปล. นี่ผมพามาเที่ยวนะ ไม่สนุกกันเลยเหรอ
ปล. ไปล่ะ