วันเสาร์, มิถุนายน 17

๐๐๘ : อาลักษณ์


ฟอนต์ลำดับที่ 2 ของกระผมเอง

กำหนดวางแผง 26 มิถุนายน 2549 ครับ

ที่
http://f0nt.com/download/categories.php?cat_id=41

ฟอนต์ตัวนี้เป็นตัวที่สองที่ผมตั้งใจทำมากๆ ใช้เวลา 2 เดือน ทำจริงๆ 2 วัน ที่เหลือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาด T-T

คุณความดีจากฟอนต์ตัวนี้อุทิศแด่ สุนทรภู่ ครูกวี และถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องใรวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ...ถวายแด่คุณความดีของพระองค์


ขอจงทรงพระเจริญ

วันจันทร์, พฤษภาคม 15

๐๐๗ : ภู - พระ - สมรภูมิ

หายไปน๊าน นาน แต่หัวยังอยู่ดี ไม่หายไปไหน
กลับมาทักทายบล็อกเก่าอีกครั้ง (อันที่จริงก็ทักได้แต่บล็อกเก่าๆ และคนแก่ๆ เอาล่ะ สวัสดีตัวตนครับ)

เริ่มเรื่อง

- อยู่กทม.เรียนพิเศษ
- พาบักหำน่อยไปแข่งคณิต
- กินไข่ต้มเคล้าความฮา
- ดูตะวันขึ้นที่เขาค้อ
- ดูตะวันตกที่ภูหินร่องกล้า
- ไหว้พระ
- กลับบ้าน

จบเรื่อง

ก๊ากๆ สะใจ บอกตอนจบแล้วเฟ้ย คราวนี้ก็มาเข้าเรื่อง

หลังจากเป็นเด็กเต้บมาได้ซักเดือน ก็มีอันต้องจรลีต่อไปโคราชเมืองย่าโม พาไอ้น้องชายไปสอบคณิตศาสตร์

.....เวลาผ่านไป....... ผมกะพ่อก็เดินดูนิทรรศการ เถียงกะคนเฉลยข้อสอบ เข้าห้องน้ำ กินหนม และแอบงีบ .....เวลาผ่านไป.......

ผลปรากฏว่าไอ้น้องเจริญรอยตามผมจริงๆ พอสอบเสร็จมันทำหน้าระรื่นบอก ทำได้ ตั้ง 8 ข้อแน่ะ (จาก 30 ข้อ - -")

.....เวลาผ่านไป.......

มันเดินหน้าระรื่นมาบอกว่า ไอ้แปดข้อน่ะ สรุปแล้วได้ศูนย์คะแนน (แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะ...เวร ตามพี่มันจริงๆ)

ตอนเย็นๆ ก็มีการเฉลยข้อสอบ ...ตามไปอ่านต่อที่ ปล. ละกัน ตอนนี้ยังไม่อยากเสียอารมณ์

หลังจากนั้นก็เป็นรายการเที่ยวครับ ไปโคราชก็ต้องไปไหว้ย่าโม (ไปตอนกลางคืน อากาศเย็นสบาย คนก็น้อย ที่จอดรถก็หาง่าย ... ลอดประตูชุมพลมาเรียบร้อย เค้าว่าถ้าลอดประตูนี้แล้วจะได้กลับมาเยี่ยมอีก (จริงป่าววะ) (แต่เห็นแม่ผมเค้าบอกว่าตอนผมเล็กๆ ก็เคยมาลอดแล้ว))...ไปถึงเห็นมีคน (เด็กๆ และวัยรุ่น) ขะมักเขม้นช่วยกันถูกรอบๆ ลานอย่างสนุกสนาน สอบถามได้ความว่ามาแก้บนกัน ไอ้ผมเลยสนุกเข้าไปแจมมั่ง สรุป ได้ถูลานย่าโมมารอบนึงแล้วครับ รู้สึกดีใจ๊ดีใจ (ทีนี้กูก็รู้แล้วว่าจะเอาความดีอะไรไปโพนทะนาเวลาเค้าให้เขียนสมุดบันทึกความดี และเวลาประกวดมิสทิฟฟานี่)

รุ่งขึ้นก็ไปต่อที่ปราสาทหินพิมาย ที่นี่มียุวมัคคุเทศก์ด้วยนะ นำเที่ยวโดยไม่คิดตังค์ แต่มีสิ่งนึงที่พวกเราเห็นแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน นั่นคือ บันไดไม้ที่สร้างทับไปบนบันไดปราสาทหิน และแล้วในที่สุดเจ้าคุณพ่อกระผมก็ได้ฝากให้มัคคุเทศก์สาวของเราไปต่อสู้ในฐานะนักเรียน ใครเป็นชาวโคราชมาอ่านลองหันกลับไปดูสักนิดนะครับ ปราสาทหินพิมาย เป็นโบราณสถานสำคัญ แสดงให้เห็นอารยธรรมของไทยเรา แล้วปล่อยให้เอาไม้ ซึ่งเป็นอะไรไม่รู้ไปตอกไปพาดให้มันสูญเสียความน่าเกรงขามไป คิดดีๆ นะครับ ระหว่างความสะดวกสบายในการเดินเข้าออก กับภาพลักษณ์ของสถานที่อะไรสำคัญกว่ากัน



ปราสาทหินพิมายแบบเต็มๆ ใช้โฟโต้ช็อปแต่งสีนิดหน่อย



ทายซิ อะไรเอ่ย
(เฉลย หีบสมบัติ)



เจ้าถิ่น (สังเกตท่านั่งท่านสิงห์สิ)



จากนั้นก็ไปไทรงาม ต้นไทรเยอะดี ข้างๆ มีบึงน้ำให้เด็กๆ โดดน้ำเล่น
เห็นแล้วอยากถ่าย(รูป)มากๆ แต่ดันแบตหมด (ฮ่วย - -")

หมดแล้วครับประสบการณ์เที่ยวโคราช พอเสร็จข้าวเที่ยงปั๊บเราก็ควบอีซูซุดีแมกซ์ปุเลงๆ ขึ้นเขาค้อกันต่อ เห็นบักถั่วบอกสวยนัก อยากรู้จริงว่าจะสวยแค่ไหน ขึ้นถึงยอดเขา ลงไปติดต่อที่พักที่ทุ่งแสลงหลวง พอลงจากรถปุ๊บผมก็วิ่งลงทุ่งไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก สวยแบบธรรมดาๆ ดีครับ
คืนนั้นเรานอนเต็นท์กัน จุดเทียนตามไฟ ฟังเสียงหรีดหริ่งเรไรกล่อมนอน อากาศเย็นตลอดเวลายิ่งกว่าเปิดแอร์ แต่ไม่ให้ความรู้สึกอึดอัดเหมือนเปิดแอร์ เรียกได้ว่า แม้ไม่มีไฟ ไม่มีทีวี คืนนี้เราก็ไม่เดือดร้อน




รุ่งขึ้นตื่นเช้ามาดูตะวันขึ้น หมอกลงจนแทบไม่เห็นตะวัน
แต่ก็ได้ภาพตะวันโผล่ทิวสนสามใบมาสวยเหมือนจับวาง



ครึ่งวันเที่ยวอยู่บนเขาค้อ ไปดูพระตำหนักเขาค้อ หอสมุดนานาชาติ และก็อนุสาวรีย์ผู้เสียสละในยุทธการปราบคอมมิวนิสต์ที่เขาค้อ ที่ข้างๆ อนุสาวรีย์มีสนามเพลาะที่คงสภาพเดิมไว้ให้ดู เชื่อมั้ยครับ วิวบนเขานี่สวยเหลือเชื่อ มองเห็นเมือง บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา ขณะเดียวกันมันก็เป็นชัยภูมิที่ดีเยี่ยมในการสังเกตการณ์ และซุ่มโจมตี ดังนั้นเขานี้จึงเป็นที่ตั้งมั่นของเหล่าคอมมิวนิสต์ และเป็นเหตุให้เกิดการนองเลือดระหว่างคนไทยด้วยกัน...



มุมหนึ่งของพระตำหนัก



ท้องฟ้าที่พระตำหนักสวยมากครับ




ศาลาหลวงพ่อทบมุมสงบแห่งหอสมุดนานาชาติ



ภูมิใจเสนอ



อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ



เดินทางขึ้นภูต่อ คราวนี้ขึ้นภูหินร่องกล้า ได้บ้านพัก(ไม่มีแอร์ ทีวี และพัดลม)แล้ว เห็นป้ายหน้าบ้านบอกจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ลานหินแตกระยะทางไม่ไกลสามารถเดินเท้าได้ เราก็ยกโขยงพากันเดินขึ้นไป บนภูหินร่องกล้านี้ก็เป็นสมรภูมิไทยสู้ไทยเหมือนกัน ดังนั้นทุกตารางเมตรจึงเป็นสนามรบ เดินไปก็เห็นป้ายสักการะเหล่านักสู้ ที่ลานหินแตกนั้นก็เช่นกัน ผาหินที่แตกเป็นร่องเล็กร่องน้อยทำให้เกิดความชื้นสะสม ทั้งกล้วยไม้ ทั้งเฟินขึ้นเกาะตามหินเรื่อยไป แต่ที่เห็นมากที่สุดคือกุหลาบพันปีสีขาวที่บานสะพรั่งทั้งหุบหิน แต่กาลก่อนนี้เพียงไปกี่สิบปีที่แห่งนี้ก็เป็นบังเกอร์ชั้นดีที่ใช้หลบบังกระสุน และระเบิดในสมรภูมิรบ...

เดินถึงสุดผาปรากฏว่าอีกตั้งชั่วโมงกว่าตะวันจะตก ก็นั่งเล่นกันอยู่บนนั้น มีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันอยู่ประมาณ 4-5 คน สักพักเริ่มมี พระ... ครับพระสงฆ์นุ่งเหลืองห่มเหลือง โดดข้ามหินขึ้นมาที่ละรูปๆ รวมแล้วประมาณ 20 กว่ารูป รวมทั้งมีอุบาสกอุบาสิกาตามขึ้นมาด้วย อีก 5-6 คน ซึ่งที่จริงแล้วนักท่องเที่ยวที่ถ่ายรูปแชะๆ ตอนที่เรามาถึงนั้นก็เป็นอุบาสิกาคณะเดียวกัน

ภิกษุสงฆ์เหล่านั้นขึ้นมาถึงพอพร้อมเพรียงกันแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำแมว นั่งทำวัตรสวดมนต์กันทันที ไอ้ผมก็นั่งเอ๋อ พนมมืออือออไปกะเค้า ถามว่าแปลกมั้ยที่จู่ๆ เกิดมีพระขึ้นมาทำวัตรเย็นกันบนหน้าผา อันนี้ผมว่าไม่แปลก เพราะขึ้นมานั้นผมว่าจริงๆ แล้ว นั่นก็เป็นการธุดงค์รูปแบบหนึ่ง เหมือนการออกค่าย แล้วเท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่ก็คงเป็นเณร กับพระหนุ่มๆ เณรก็คือเด็ก ย่อมอยากรู้ อยากเห็น อยากเที่ยว หากแต่อยู่ในผ้าเหลืองที่กำหนดให้ผู้ครองผ้านี้สงบ และสำรวม ดังนั้นการเที่ยวเล่นหัวจึงเป็นเรื่องยาก ทางวัดจึงจัดในรูปแบบการธุดงค์ ศึกษาธรรมชาติ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติ ก็คือการศึกษาแก่นของธรรมะ เพียงแต่ทำให้ดูผ่อนคลายขึ้นในรูปแบบของการธุดงค์เที่ยวท่อง หลวงพ่อเป็นผู้ดูแล ไม่ให้เหล่าเณรๆ นั้นเจี๊ยวจ๊าวเกินเหตุ ขณะเดียวกันหลวงพ่อก็สอน สอดแทรกธรรมศึกษาลงในการเที่ยวนั้นด้วย เรียกได้ว่า พาเที่ยวครั้งเดียวได้กำไรสองต่อ (หลวงพ่อยิงนกไม่ได้เดี๋ยวบาป)



ทำวัตรบนหน้าผา



หลังจากแสงตะวันสะท้อน...เอ่อ...เป็นประกายว้อบแว้บเข้าตาได้ชั่วครู่ ก็คล้อยต่ำลง จากนั้นก็เป็นรายการถ่ายรูปๆๆ และเดินลงเขา และกินข้าว (พนักงานเสิร์ฟเป็นกะเทยด้วย แล้วก่อนนั้นไอ้น้องชายผมก็เผอิญหลุดปาก-เซ็นเซอร์-แฟนพันธุ์แท้ปลาทะเลที่แอบตุ๊ด ไม่รู้นาย..เอ่อ..นาง..เอ้อ ช่างเหอะ เด็กเสิร์ฟคนนั้นเค้าได้ยินเปล่า แต่เห็นเสิร์ฟโต๊ะผมสุดท้ายเลยง่ะ เฮ้อ.. กว่าจะผ่านมื้อนั้นได้ สยิวกิ้ว)



มนุษย์เลเซอร์! (พ่อผมเองแหละ)



ตะวันลับกลีบเมฆ



ตื่นเช้ามาก็กะจะไปชมตะวันขึ้นที่ผาชูธงซะหน่อย ขับรถไปได้ซักพัก เอ๊ะ นี่มันทิศตะวันตก ผมเลยเอาโบรชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวมาดู ปรากฏว่าผาชูธงมันเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก แล้วจะให้กูขึ้นไปชมตะวันขึ้นทำแมวไรละครับ ก็กลับไปนอนต่อสิ

หลังจากนั้นก็ตามรูปครับ ขึ้เกียจเล่าต่อและ เมื่อย




ป้ายนั่นเขียนว่า
หลุมกระสุน
อนุสรณ์แห่งการประหัตประหาร
ของคนไทยด้วยกันที่แตกต่างเพียงอุดมการณ์



สำนักอำนาจรัฐ
ทำเนียบรัฐบาลของฝ่ายคอมมิวนิสต์



บ้านพักของเหล่าสหาย



ผาชูธง
สถานที่ซึ่งฝ่ายคอมมิวนิสต์ใช้ชูธงค้อนเคียว
ทุกครั้งที่มีชัยเหนือฝ่ายรัฐบาล ปัจจุบันมีธงไตรรงค์ตั้งอยู่อย่างถาวร



ลานหินปุ่ม
สถานพยาบาลผู้บาดเจ็บ



กังหันน้ำ
ใช้ทุ่นแรงตำข้าว ป้ายภาษาไทยบอกสร้างโดยนักศึกษา ม.ขอนแก่น
แต่ภาษาอังกฤษบอกจุฬาฯ แล้วกูจะเชื่อใครล่ะครับ








เออ ว่าจะเขียน ปล. ยาวๆ แต่ขี้เกียจ งั้นก็สั้นๆ ละกัน

ปล. ไอ้ที่ผมจะบอกก็คือ ตอนเย็นที่มีการเฉลยข้อสอบ เด็กๆ ก็เข้าไปนั่งกันเต็มห้องประชุม ผมขี้เกียจเบียดก็เลยมานั่งดูถ่ายทอดสดที่ทีวีข้างนอก กรรมการที่เฉลยข้อสอบก็

"อ๋อข้อนี้ง่ายมาก แก้สมการสองตัวแปร"
"ข้อนี้ก็ง่าย ใช้ทฤษฎีบทของวงกลม พีทากอรัส ยูคลิด อะโบเดเบ๊กะจะมะอุ๊ส รองรับ"


ไอ้ผมนี่อยากจะลุกไปถีบหน้ากรรมการเฉลยข้อสอบ แต่กลัวทีวีเขาพัง ไม่มีตังค์ใช้
ถามจริงๆ เถอะครับ ไอ้ที่พูดมาน่ะ เด็กประถมมีเรียนมั้ย จริงอยู่มีเด็กบางกลุ่มทำได้ อธิบายได้ นั่นก็เป็นเด็กที่ได้รับการติวมาเพื่อสอบ ถ้าพวกเขาเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าให้เด็กจำข้อสอบมาทำนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการฆ่าเขาทั้งเป็น เลยนะครับ การเฉลยก็ไม่ได้ทำให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องกระจ่างขึ้นมาสักนิด บางทีการออกข้อสอบยากๆ ก็ไม่ได้วัดเด็กเสมอไป แต่มันเป็นการอวดภูมิของผู้ออก ของผู้เฉลยมากกว่า แล้วนั่นมันจะไปเกิดประโยชน์อะไรกับเด็กๆ ล่ะครับ ผมเห็นเด็กบางคน ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แล้วคนเฉลยก็ดีแต่พูดว่าข้อนี้ก็ง่ายข้อนั้นก็ง่าย เลยพาลคิดไปว่าตนเองไม่แน่จริง ไม่เก่ง จนบางครั้งทำให้เหม็นเบื่อสิ่งที่ตนเองพยายามจะทำไปเลย จุดนี้ ถึงแม้ว่าการสอบคัดเลือกจำเป็นต้องมีการแข่งขันเพื่อนคัดเด็กที่แน่จริงออกมา แต่คนที่อธิบายให้เด็กฟังควรมีจิตสำนึกที่เข้าถึงเด็กบ้างนะครับ พูดให้กำลังใจเข้าบ้าง ไม่ใช่พูดแต่ให้คนที่ทำได้ผยองว่าข้าแน่ ข้าเก่ง ข้าทำได้ แล้วเหยียบให้คนที่ทำไม่ได้ เสียใจ จมดินลงไป

ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยเพราะผมนั้นก็ผ่านสนามสอบมาแล้วมากมาย เป็นทั้งผู้ชนะ ผู้แพ้ เคยเห็นมาหมดแล้วทั้งคนที่ชนะแล้วดีใจ แพ้แล้วเสียใจ แพ้แล้วเอาความเจ็บใจนั้นฮึดสู้ใหม่ หรือแพ้แล้วกดตัวเองให้จมอยู่แต่กับความพ่ายแพ้

ผมโชคดีที่มีครอบครัว ครู และเพื่อนที่มองโลกในแง่ดี ใช้คำพูดเป็น ปลอบใจเป็น กระตุ้นให้สู้เป็น สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี และไม่เคยมองความผิดพลาดเป็นความพ่ายแพ้ แต่นั่นกลับกลายเป็นค่าประสบการณ์ให้ผมได้พยายามครั้งใหม่ให้มากกว่าเดิมชนะตนเองให้ได้ ข้ามขีดจำกัดตัวเองให้ได้ แล้วจะชนะโลกเอง

ปล. นี่ผมพามาเที่ยวนะ ไม่สนุกกันเลยเหรอ
ปล. ไปล่ะ

วันพุธ, เมษายน 19

๐๐๖ : If tomorrow never come!!

ตอนนี้อยู่กทม.ครับ เรียนพิเศษครับ เป็นหวัดครับ ยังไม่หายครับ เหี้ยจริงๆ ครับ

ไอ้หวัดนี่แย่จริงๆๆๆๆๆ เลยครับ มันขัดขวางการเรียนรู้ของผมอย่างแรง เรียนๆ อยู่ เดี๋ยวก็ไอ น้ำมูกย้อย เจ็บคอ และปวดหัว ปวดหัวนี่เหี้ยสุดครับ มันมาเป็นพักๆ โดยเฉพาะพักที่เรียนเรื่องโคตรเครียดอยู่ (แม่ง ไม่น่าลง 4 วิชาเลยกู แทบเดี้ยง)
อันว่าวิชาที่เรียน

- คณิตศาสตร์ (ไม่ค่อยปวดหัวเท่าไหร่ ยังเช้าอยู่ สมองแจ่มใส เพี้ยง....ทั้งวันทีเหอะ)

- ชีวะ (มันจะไม่ยากถ้าอาจารย์ไม่บรรยายแบบไม่ลืมหูลืมตา อาณาจักรโน้นนะนักเรียน มันจะมีงี้ๆๆๆๆ นั่นไฟลัม งี้ๆๆๆๆๆ นี่..งี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(รายละเอียดต่างกันตรงไม่ยมกครับ) (แล้วกูก็โดนท่องอาณาจักร Monera แล้วกูก็ผ่านแบบสยิวกิ้ว(ก๊ากๆๆๆๆ))) <<--นับวงเล็บให้ครบนะ <<--เสริมความ มันยากและไม่รู้เรื่องเพราะผมเข้ามาทีหลังเค้าครับ ถ้าได้เรียนตอนอาจารย์สอนเรื่องเซลล์ ผมคงหัวฟูน้อยกว่านี้ สรุปจริงๆ แล้ว อาจารย์ท่านนี้สอนชีวะผมได้ดีมากครับ ทำได้ไง 5 วัน 5 คิงดอม แล้วกูก็เสือกรู้เรื่องด้วยแน่ะ (อันที่จริงผมมันอัจฉริยะ)

- พักข้าวเที่ยง 1 ชม. เฮ้อ

- อังกฤษ (อ.แอบตุ๊ด เซ็งจิ๊บเป๋ง เรียนคนเดียวด้วยกู (ขนาดนี้ผมก็หลับในได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง) <--จนอาจารย์เค้าทักอะว่า เป็นไรรึเปล่า -- ป่าวคับ ผมหลับอยู่) <<--เสริมความ คลาสนี้ผมเรียนคนเดียว เลยเอาแต่ใจได้ตามใจกู อยากเรียนไรบอกจาน จานจัดให้ วันก่อนผมบอกจานให้เอาข่าวมาคุยกันมั่งก็ได้ คาบต่อมาจานเล่นคุยข่าวกะผม (ภาษาไทย) ตั้งเกือบครึ่งคาบ (ตกลงกูจะมาเรียนภาษาปะกิดทำหอกไรวะ)

- เคมี - ไม่เครียดแต่กูงง <<--แรกๆ ง่าย หลังๆ ยากกกส์ส์ส์ส์ส์ส์ (มั้ง)

-----สรุป การบ้านเพียบ
--------สรุปอีกที กูไม่ทำ

แค่นี้ละครับ ชีวิตเด็กบ้านนอกกลางเมืองฟ้า เดินมาตามหัวจายยย

ปล. ผมเป็นหวัดมาเกือบ 15 วันแล้ว ใครมียาดี มียาเด็ด ส่งมาชิงรางวัลได้ครับ ใครทำให้หายได้ผมให้ล้านนึง
ปล. กูเกลียดหวัด
ปล. ใครเห็นผมตอนเช้าๆ เดินไปขึ้นรถเมล์มาสยาม อย่าไปทักมันนะครับ มันยังไม่ตื่น
ปล. วันนี้เลือกตั้งสว. จารย์ตุ๊ดเค้าหยุดสอนครับ ผมเลยมีเวลาผ่อนคลายความเหี้ย 2 ชั่วโมงฝ่าๆ 'คุณก๊าบบบบบ
ปล. ตอนนี้ขโมยคอมในงานโรบอตเวิร์ลที่พารากอนเล่นอยู่ เสียวๆ กลัวเค้าด่าเหมือนกันแหละ แต่ผมไม่สนครับ ขอให้กูได้เล่นพอ :D
ปล. If tomorrow never come คุณจะทำอะไรครับ ถ้าเป็นผม... จะนอน
ปล. อันนี้สด ผิดพลาดประการใดก็ช่างหัวความผิดพลาดมันเหอะวะ

ปล. เสริมความไปนิดหน่อยครับ ตอนแรกผมคงเมาพาราอยู่เลยเขียนเลอะเทอะไปหน่อย รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่งก็ช่างหัวมันเหอะครับ

วันศุกร์, เมษายน 14

๐๐๕ : ฝัน





เขียนไว้นานแล้วครับแต่ไม่ได้โพสต์ซักที พอดีได้โอกาสเหมาะเลยยกมาไว้ที่นี่ซะเลย อ่านๆ ไปเถอะครับ อย่าคิดมาก

-----------------

วันนี้รู้สึกอยากอัพเรื่องใหม่ก่อนเข้านอน นึกไปนึกมาเอาเรื่องนี้ล่ะฟะ

เมื่อคืนครับ เมื่อคืน ตอนใกล้ๆ สว่างแล้วแหละ ผมเกิดฝันขึ้นมา ไม่ได้บ้าอะไรมากมายนา แค่ชอบเป็นพิเศษเอง

ผมฝันว่ากำลังสอบจูนินครับ!!!!

(ใครไม่ได้อ่านนารุโตะไปอ่านซะไป!! )

ไอ้สอบรอบแรกก็ผ่านไปแล้ว (จำรายละเอียดไม่ได้เลย)

พอมาถึงอีตอนสอบรอบสองนี่ล่ะครับ เค้าแบ่งเป็นหน่วยๆ กลุ่มๆ

แปลกแต่จริง ผมอยู่กลุ่ม 7 โจนินประจำกลุ่มคือคาคาชิ (ไม่รู้ตอนนั้นหน้าตามันเป็นการ์ตูนเปล่าหว่า)(บอกแล้วว่าไม่ได้บ้า โฮะโฮะ )

พวกโตๆ (ม.ปลาย) โดนพวกโจนินผู้คุมสอบสั่งให้ว่ายน้ำไปสะพานปลาครับ (ผมอยู่ประจวบ แหมมันก็ช่างฝันได้เหมาะกะสถานการณ์เนาะ)
พี่ปิ๊ก(รุ่นพี่ผม แล้วก็เป็นพี่ของเพื่อนผมชื่อไอโอม) ว่ายน้ำไปอีกมือก็ถือกล้องไปด้วย แล้วพี่แกก็ว่ายกลับมาบอกให้ผมเอาขาตั้งกล้องให้พี่แกด้วย (เอ๊อ จะเอาไปทำไมฟะ ) ผมก็เลยโยนลงไปให้ ไม่ส่งเดี๋ยวโดนเตะ

แล้วเค้าก็เรียกรวมกลุ่มพวกผม กลุ่มผมมีสมาชิกเกือบสิบคนครับ แล้วแจกแผ่นกระดาษ (ตอนนั้นผมดีใจโคตรเลยว่ะ นึกว่าคัมภีร์ฟ้ากะคัมภีร์ดิน) แล้วสั่งให้ไปยืนเรียงกันที่เขื่อน (เป็นคล้ายๆ ม้านั่งตันๆ ยาวๆ ตลอดชายฝั่ง)

"นับ 3 โดด ทราบ!"


"ทราบ!"


"3!"


แล้วก็ไม่มีใครโดดซักคน มันสูงนะครับ เสียวนะครับ โดดไปอาจถึงตายนะครับบบ!!


....................................

...............................

..........................

.....................

................

...........

.......

....

..

.


แล้วผมก็ตื่นมานั่งนึกได้ว่า ชายทะเลตรงนั้นมันตื้นนิดเดียวนี่หว่า (อยากฝันต่อจังโว้ยยยยยยยย)

ปล. แล้วเลยนอนไถลต่อซักพัก (ม่าย... ไม่ได้ขี้เกียจ) แล้วนิสาก็โทรมาบอกว่าจารย์แมนให้ไปใช้แรงงานพรุ่งนี้ เฮ้อ..เซ็งโว้ย

ปล. คุยกันเรื่องม็อบสนธิกับท่านเหลี่ยม มันชิบหาย ชอบงื้วธรรมศาสตร์มากครับ

วันพุธ, เมษายน 12

๐๐๔ : จะดูรถม้าให้ไปลำปาง จะดูคล้องช้างให้ไปสุรินทร์

ตอนนี้ทั้งม้าทั้งช้างเป็นสัญลักษณ์ของทั้งลำปางแล้วก็สุรินทร์ไปแล้ว แต่จะยังมีอยู่หรือเปล่า ...ก็ไม่รู้ เพราะผมบ่ใจ้ คนเหนียนะเจ้า..

แต่ช่างเป็นๆ ตัวโตๆ ฝูงใหญ่ๆ มี ณ ที่นี้ ยางชุม..(รู้จักมั้ยครับ--ไม่รู้เหรอ) กุยบุรี..(รู้จักมั้ยครับ--ไม่รู้เหรอ) ประจวบ..(รู้จักมั้ยครับ--ไม่รู้เหรอ) ไทยแลนด์ (รู้จักมั้ยครับ--ไม่รู้เหรอ...........ไปตายซ้าาาาาา...(\"/)
เมื่อวันก่อน ผมไปเที่ยวเขื่อนยางชุม อุทยานแห่งชาติกุยบุรี กะว่าจะไปดูซ้าง หวังว่าคงจะไม่เหยียบขี้ซ้าง รู้จักบ่ ขี้ซ้างน่ะ

ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยได้ไปถึงเลย เขื่อนยางชุมเนี่ย ที่ได้ฤกษ์ไปนี่เพราะคณะจากมหาวิทยาลัยเกษตรเค้าไปเลี้ยงรุ่นกันแล้วเลยเชิญชมรมจักรยานโรงพยาบาลประจวบไปแจมด้วย เห็นว่ามีแรลลี่กัน ขี่ไปดูช้าง หา RC กัน
คราวนี้ บังเอิญลูกของอาม่าผมเค้าดันเป็นพยาบาลอยู่รพ.ประจวบ เป็นหัวหน้าตึกด้วยนะเออจะบอกให้ แล้วลูกน้องแม่เค้าอยู่ชมรมจักรยาน รุ่นพี่ผมก็อยู่ ลูกพี่ลูกน้องผมก็อยู่ แต่พวกเราดันไม่ได้อยู่ (ครอบครัวผม) แต่สะแหลนมีส่วนร่วมกะเค้าแทบทุกเรื่อง
น่านแหละ เหตุผลนานับประการที่พวกเราได้(เจือก) เข้าร่วมขบวนแรลลี่ในครั้งนี้

ไปถึงอุทยานฯ เกือบบ่ายสี่โมง ปรากฏว่าคณะจักรยานเค้าไปดูช้างกันแล้ว นั่งรถไป แล้วเอารถบรรทุกจักรยานไป กะว่าจะขี่กลับ พวกฟิตจัดก็ขี่ไปจากอุทยานฯ เลย ส่วนผมน่ะเหรอ นั่งรถตามไปซีครับ เรื่องไรจะเอาไขมันน้อยๆไปบริจาคให้กะจักรยาน ความจริงปกติก็ใช้จักรยานเป็นอาวุธหลักอยู่แล้ว แต่วันนี้ขี้เกียจซะงั้น ตามเค้าไม่ค่อยทันด้วยแหละ เลยไม่ไป ระยะทางเหรอครับ โอ๊ย จิ๊บๆ ไม่ต้องพูดถึง ไปกลับก็ สี่สิบฝ่าโลเอ๊ง T-T
ไปกลางทาง (ลูกรังแดงๆ) ฝนตก (กลายเป็นลำธารส้มๆ) แล้วไหงทางน้ำเสือกมาอยู่ตรงทางรถซะอีก เออเอากะมัน ดูๆไปความจริงแล้วถนนมันอยู่สูงกว่าข้างทางตั้งเยอะนะเออ แต่ไหงน้ำมันทะลึ่งปืนขึ้นมาบนถนนซะล่ะ งงจริงๆ เลยตู

เกือบถึงแล้ว เอ๊ะ รถวิ่งสวนมา บอก ทางลื่น ผมกลับล่ะ (ไกด์บอกว่าพวกนั้นเป็นคณะปลูกป่า อีกนิดๆ ทางมันไปได้)

เกือบๆ จะถึงแล้ว เอ๊ะ รถวิ่งสวนมาอีกคัน บอก ผมกลับล่ะ กลัวตกร่อง เคยเห็นมั้ยครับ ถนนลูกรังตามบ้านนอก เวลาฝนตกมันจะเซาะถนนเป็นร่อง แต่ละร่องเป้งๆ ทั้งนั้น ถ้าตกไปก็มีสิทธิ์เอาไม่ขึ้น โดยเฉพาะรถผม ไม่ใช่โฟร์วิลล์ด้วย ตายหองแหงๆ

เกือบๆๆ จะถึงแล้ว นั่นอะไร เอ๊ะ นั่นอะไร ผักสดใช่มั้ย แหมน่าอร่อยจริงๆ อุ๊ยกุ้งตัวใหญ่..... โป๊ก สาดดด..... ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่กุ้ง แต่เป็นรถ! รถกระบะ! โฟร์วิลล์ด้วย! กรรมๆๆ นี่ถ้าเกิดเป็นรถผมล่ะครับ คณะจักรยานส่วนใหญ่สมัครใจกันเดินฝ่าฝนไปดูช้าง หนุ่มๆ ที่เหลือช่วยกันขนหินมาถม อัด ยัด ล้อรถให้มันขึ้นจากหลุมได้ แต่ไม่สำเร็จครับ

เกือบๆๆๆ จะถึงแล้วจริงๆ ครับ ไกด์บอกว่าอีก 2 กิโลเองพี่ แหมเฮ้ย แล้วกูจะไปยังไง๊ ไอ้ข้างหน้าโฟร์วิลล์มันยังติดเลย ไกด์เลยบอกมันมีอีกทาง ไม่ลื่น แต่ต้องอ้อมเขาไป ดูนาฬิกาแล้วพ่อผมตัดใจไม่ไปไว้โอกาสหน้าดีกว่า เกิดไปขึ้นมาขากลับอาจต้องนอนกับช้างแล้วจะยุ่ง เลยเบนเข็มมาดูตะวันตกน้ำกันแทน


มุมแรกของเขื่อน เกิดอยากเท่เอาหินมาประกอบให้มองติสต์ๆ หน่อย แต่หินมันต่ำ ถ่ายหน้าเกือบทิ่มขี้หมา




น้องชายครับ ตัวบักเอ้ก เดี๋ยวนี้ไม่กล้าต่อยกะมัน ต้องหาเรื่องเลี่ยง เดี๋ยวมันชนะแล้วเสียการปกครอง




มองน้องชายด้วยความอยากกิน เห็นมันยืนมองอยู่นานแล้วเลยถ่ายมา




กิจกรรมยามว่าง? หรือชีวิตลำเค็ญ?




ท่าจะยังไม่ได้




สันเขื่อน (ถ่ายทำเท่ยังงั้นแหละ)




จะตกแล้วๆ




...




มีหมอกด้วย!




คิดว่าสวยสุดแล้ว (เหรอ)




ร้าน “ครัวหาดขาม” ว่างๆ แวะไปกินนะครับ อร่อยโคตร อย่าลืมสั่งปลาสามรส(ปลานิล) ตัวยังกะปลาบึกน้อย



กินลมชมวิว กระต๊อบบนต้นไม้ (ระวังร่วงนะเออ)




เมื่อกี้ไม่ได้ปรับความเร็วจ้ะ เลยมืดไปนิด
อันนี้พระอาทิตย์เชยๆ (หลังเขา)



ปล. ความจริงเขื่อนยางชุมนี่ ไกด์เขาบอกว่าจะต้องใหญ่กว่านี้ ตามที่ในหลวงท่านมีพระราชดำริไว้ แต่วิศวกรมันลดงบ (รึกิน) ลดสันลงมาเยอะ พอจะเสริมสันก็ไม่ได้เพราะพอมีเขื่อนปุ๊บ ชุมชนแม่งก็ตามมาปั๊บ ถ้าสร้างตามขนาดเดิมชุมชนแถวนี้จะไม่เกิด แล้วจะกลายเป็นเขื่อนทั้งหมด เก็บน้ำได้มหาศาล แล้วพวกมึง (ใครไม่เกี่ยวถอยไป) ก็ไม่ต้องมาแง้วๆ ว่าไม่มีน้ำรดต้นไม้

ปล. สรุปก็ไม่ได้ไปดูช้าง วันรุ่งขึ้นกะว่าจะไปดูว่าวก็ไม่ได้ไป ว่าจะอ่านหนังสือก็ไม่ได้อ่าน (ความจริงอ่านไปติ๊ดนึงอ่ะ แต่ขี้เกียจซะก่อนเลยไม่ได้อ่าน)

ปล. พูดถึงเรื่องขี้เกียจ ใครเพื่อนกูเข้ามาอ่าน ขอบอกไว้หน่อย พอกูตั้งใจจะทำงานพวกมึงไม่ต้องมาทักนะว่าขยันจริง ไม่งั้นตัวขี้เกียจจะครอบงำกู แล้วกูจะเลิกเอาดื้อๆ ประกาศไว้ให้ทราบทั่วกันแล้วนะครับ

๐๐๓ : เรื่องเหม็นๆ


ช่วงนี้ผมอยากจะบันทึกเรื่องราวเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิต เพื่อเป็นการสื่อสารกับตัวเองในอนาคต ถ้าเผื่อว่าผมยังมีอยู่ เพราะเพิ่งโดนหมาเหี้ยกัดไปเมื่อไม่กี้วันมานี้ นับจากนี้ไป 7 วัน ถ้ายังอยู่ได้ก็คงยังมีอนาคตอยู่ เพราะงั้นเลยอยากจะบันทึกเรื่องราวตรงนี้ไว้ เกิดผมตายไป โลกนี้ก็จะยังคงมีเศษเสี้ยวของผมสถิตอยู่ตลอดกาล

---------------------------------------------------------------------

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. -ตู๊ด-ตู๊ด-

วันแรก ณ ห้องสอบ :::>>> วิชาคณิตพื้นฐาน

ปิ๊ด

(เหงื่อเริ่มตก ) ทั้งห้องก็ยังทำข้อสอบอย่างขะมักเขม้น

ปิ๊~ด

(อูย จะแย่แล้ว) อดทนทำข้อสอบต่อไป

ปี๊~~ด

(ไม่ไหวแล้ววววว) รีบส่งข้อสอบแล้ววิ่งไปห้องน้ำในทันใด (เฮ้อออ)

นิสา : เฮ้ย ไมพอสอบมึงต้องเป็นงี้ทุกทีเลยวะ
ผม : ถ้ากูรู้แล้วมันจะเป็นงี้เรอะ
นิสาุ๊ : เออจริง

ตอนเที่ยง
อาย : บุ๊ค เมื่อกี้ตอนออกจากห้องสอบมึงขอโทษกูทำไมวะ
ผม : อ๋อ กูตด
อาย : โหยไอสาด กูก็นึกว่ามึงขยับเก้าอี้มาชนโต๊ะกู
ผม : ฮ่ะ ฮ่ะ << หัวเราะแห้งๆ อาย : เหี้ยเอ๊ย ยังมีหน้ามาหัวเราะ ระหว่างอ่านหนังสือก่อนสอบรอบบ่าย ไออายมันยกเก้าอี้มาวางกลางห้อง ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้แล้ว ----ประกาศเรื่องเมื่อเช้าให้เพื่อนในห้องทุกคนรู้ - -" วันที่สอง ณ ห้องสอบ :::>>> วิชาวิทย์พื้นฐาน

ปิ๊ด

ปี๊~ด

ทั้งอายทั้งเน็ต หันมามองผมเป็นสายตาเดียว ผมงี้ไม่ไหวแล้ว ข้อสอบก็ยังทำไมเสร็จ แม่ง เมื่อวานไม่น่ากินกล้วยบวชชีเลย สังหรณ์ใจไว้แล้วเชียว

ผม : อาจารย์ครับ ขออนุญาตเข้าห้องน้ำ
อาจารย์ : ไปสิ รีบไปรีบมานะ


ไออายเป็นคนแรกที่แหกปากหัวเราะ (เพื่อนที่ดี) พอผมกลับมา อ้าวเฮ้ย ข้อสอบกูไปไหนวะ

ผม : จารย์ครับ จารย์เก็บข้อสอบผมไปแล้วเหรอครับ ยังไม่เสร็จเลยอ่ะ
อาจารย์ : เปล่านี่ นี่ของณัฐ

พอเดินกลับมาดูที่โต๊ะ ปรากฏว่ามันอยู่ใต้ข้อสอบ
ไออายเป็นคนแรกที่แหกปากหัวเราะ

พอผมออกจากห้องสอบ

นิสา : เฮ้ย มึงจะไปเข้าส้วมเปล่า
ผม : สัตว์ กูไปมาแล้ว

ไออายเป็นคนแรกที่แหกปากหัวเราะ

วันที่สาม ณ ห้องสอบ

หลังสอบเสร็จ
------------------------

อาย : อ้าว วันนี้มึงไม่ขี้แตกเหรอวะ
ผม : อ้าว มึงอยากดมตดหรอกเรอะ ไมไม่บอกกูเร็วกว่านี้ฟะ
อาย : เหี้ย

แล้วมันก็เป็นคนแรกที่แหกปากหัวเราะ

ไม่เข้าใจมันจริงๆ เลย

---------------------------------------------------------------------

๐๐๒ : เรื่องหมาๆ




เมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมา ผมเข้ากรุงไปเรียนพิเศษที่กรุงเต้บมหาน้าคอนน อามรรัตนโกสินทร์ มหินทรา อยุธยามหาดิลก ภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมาน อวตารสถิตย์ ศักกะทัตติยะวิศนุกรรมประสิทธิ์...เป็นครั้งแรกในชีวิต!
กิจวัตรประจำวัน
จันทร์ - เสาร์
-ตื่น
-อาบน้ำ
-ขึ้นรถเมล์
-เรียน
-กินข้าว
-เรียน
-เดินไปที่ทำงานน้า ( 1 สถานีรถบีทีเอส)
-กลับบ้าน
-ช่วยงานป้า
-นอน
อาทิตย์
-ตื่น (เที่ยง)
-ช่วยงานป้า
-นอน
วันๆ ก็แค่นี้แหละครับ แต่การมาเรียนนี่ ทำให้ผมได้สัมผัสกับความรู้สึกหนึ่งที่ไม่เคยได้เจอะเจอมาก่อน

นั่นคือ ความรู้สึกอยากไปโรงเรียนครับ

จริงครับ ผมไม่เคยรู้เลยว่า ไอ้ความรู้สึกอยากไปโรงเรียนนี่มันเป็นยังไง ไม่รู้ว่าการเรียนการรสอนในกรุงเทพเป็นยังไง
สนุกครับ การเรียนมันสนุกอะไรอย่างนี้ เฮ้ออ ถ้าที่โรงเรียนทำให้อยากมาโรงเรียนอย่างนี้ได้ก็ดีสิ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมอยากมาเรียนในกรุงเทพ...

โป๊ก..
กู : อูย
กู : เมื่อไหร่มึงจะเข้าเรื่อง
กู : เดี๋ยวน่า เกือบแล้วๆ
กู : เร็วนามึง เปลืองมาหลายบรรทัดแล้ว

แล้ววันหนึ่ง (อยู่ตรงส่วนไหนของสัปดาห์วะ) (โป๊ก)
แม่ผมก็โทรมาบอกว่า ไอ้ลักกี้ (หมาไซด์โรดที่ผมให้ข้าวให้น้ำตั้งกะตัวเท่าฝาหอย) มันมุดเข้าไปคลอดลูกในบ้าน
(เห็นไหมกูเข้าเรื่องหมาแล้ว สัตว์)
เท่ากับว่าบ้านผม ต้องอุปการะน้องหมาน้อยๆ 3 ตัว อ้วนปี๋ สีขาวดำ (แม่ง ยังกะเครื่องถ่ายเอกสาร) ตัวเมียทั้ง 3 ตัว
พ่อผม ที่ปกติไม่ค่อยจะกินเส้นกะหมานัก ก็ซื้อข้าวซื้อน้ำ มาให้มันกินทุกวัน พอเห็นลูกหมามันกินไม่ได้ พ่อแกก็..เอ๊ย พ่อกูก็เอานมสดแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตราไทยเดนมาร์ค (ที่ไว้ใช้เลี้ยงลูก) ไปเลี้ยงหมาซะฉิบ
ประคบประหงมยังกะได้ลูกสาวใหม่อีกสาม(ตัว)
พอจะเปิดเทอม ผมกลับบ้าน เห็นน้องหมาน่ารักสามตัว กินเพ็ดดีกรี! สัตว์หมาเอ๊ย กินดีกว่ากูอีก
ล่าสุด ผมเห็นพ่อไปนั่งคุยกะมันด้วยว่ะ (พัฒนาๆ)

พอมันเริ่มโต วิ่งได้ก็ตัดใจเอามันออกไปอยู่ข้างนอก ปิดช่องที่ประตูรั้วไม่ให้มันเข้ามาได้ เพราะว่าถ้าเกิดให้มันอยู่แบบหมาในวังต่อไปมันก็จะไม่โต หาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ (โอว) เกิดพวกผมไม่อยู่บ้านขึ้นมามันก็ไม่มีอะไรกิน เพราะงั้นต้องฝึกให้หากินนอกบ้านให้เป็นบ้าง
มันร้องงื้ดๆ น่าสงสารชิบเป๋งเลยว่ะ (ตัวสีดำปี๋ย์ ทั้งตัว มีคนมาขอไปเลี้ยง ป่านนี้ไม่รู้ชะตากรรมเป็นไง เลยเหลือวิ่งตามผมอยู่ 2 ตัว)

ตอนนี้มันโตเป็นวัยรุ่นแล้ว ถ้าเป็นคนก็คงเป็นสาวเอ๊าะๆ วัย 10 ขวบ
พอผมขี่จกย. (จักรยาน อย่าควาย) ออกไปไหน ไม่ว่าจะไปซื้อของ หาป้า พ่อใช้ แม่เรียก แม้กระทั่งไปเที่ยว มันก็จะวิ่งตามตลอด โดยเฉพาะไอ้ตัวเล็ก ขามันเป๋หน่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันวิ่งตามไม่ค่อยทัน แต่ก็พยายามวิ่ง ตัวอื่นมันกลับบ้านไปหมดแล้ว ผมก็นึกว่ามันกลับไปด้วย ปรากฏว่าผมแวะเติมลมที่ร้านตาแป๊ะซ่อมจักรยาน มันก็วิ่งถลาผ่านหน้าผมไปเลยว่ะ
แล้วมันก็ได้ยินเสียงผมวิ่งกลับมาเห่าบ๊อกๆ อยู่ข้างๆ เนี่ย เป็นหมาที่เหี้ยจริงๆ
ผมต้องขี่กลับไปส่งมันที่บ้านอีกอะ เอ๊า เอากะมัน
ปรากฏว่าระหว่างทาง มันมีหมาคุมซอยอีกซอยของหมู่บ้าน โดดออกมาไล่ฟัดกะไอ้ตัวเล็ก ผมเลยต้องเสี่ยงชีวิตขี่จักรยานฝ่ากลางวง พาไอ้ตัวเล็กกลับบ้าน
คราวนี้เลยปิ๊งขึ้นมา ขี่อ้อมไปอีกซอย พอมันตามมาถึงกลางซอยมันก็เลิกเพราะกลัวไอ้เจ้าถิ่น ก๊ากกก

เมื่อวันก่อนที่จารย์แมนเรียกผมไปช่วยงาน มันก็ไม่ตามแล้วครับ คงเห็นว่าตามไปก็เปล่าประโยชน์ เปลืองพลังงานเปล่า แต่ตัวแม่มันสิครับ วิ่งพรวดนำหน้าผมไปอีก อ้าวสัตว์ นำหน้ากูทำหอกไรวะ
มันวิ่งไปขย้ำลูกแมวครับ ลูกแมวตัวน้อย สั่นง่อกๆ อยู่ในปากมัน ผมก็รีบปั่นจักรยานไปคร่อมมันไว้ มึอนึงจับไอ้ลักกี้ อีกมือจับแฮนด์จักรยาน ถ้าปล่อยมันจะไปทับลูกแมว แล้วเอาเท้าเขี่ยๆ ให้มันวิ่งไป มันก็นอนสั่นง่อกๆ อยู่ยังงั้น จะให้ทำไงล่ะครับ ผมเลยกะว่า นึง ส่อง ซ้ำ ปล่อยมือไอ้ลักกี้แล้วคว้าแมวน้อยไว้
แต่ ผมพลาด คว้าแมวไว้ได้จริงแต่ไอ้กี้ก็โจนไปงับแมวอีก แมวในมือผมเนี่ยครับ แล้วเขี้ยวมัน เขี้ยวหมานะครับ เขี้ยวใหญ่ๆ เหลืองๆ สกปรกๆ อี๋ย์ย์ย์ งับกึกเข้านิ้วกลางงามๆ ผมเนี่ย เลือดโชกเลยครับ

แล้วไอ้หมาสัตว์ก็วิ่งสะบัดๆ ไปพร้อมกับซากลุกแมวเหมียว
ผมงี้โคตรสะเทือนใจ

กาลผ่านไปไม่นานนัก เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไอ้ตัวลูกมัน ตัวใหญ่ ครับ โดนวางยาเบื่อ!!
ผมเดินเข้าไปหา มันก็นอนมอง พยายามจะลุกขึ้นมาแต่ก็ลุกไม่ไหว ได้แต่กระดิกหาง มันคงทรมานมาก แต่ผมก็ช่วยอะไรมันไม่ได้เลย
ตอนหัวค่ำ ผมเห็นมันลุกขึ้นมาเดินโซเซไปเอาปากจุ่มลงในหม้อน้ำ เหมือนมันร้อน ร้อนในร่างกายน่ะครับ ผมจะทำยังไงดี จะเอามันไปหาหมอที่ไหน
คืนนั้นผมนอน แล้วก็ตื่นขึ้นมาไม่เห็นมัน ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเคยเห็นแม่มันเคยมีอาการแบบนี้แล้วก็หาย คิดว่ามันก็คงหายเหมือนกัน แล้วต้องไปช่วยงานอาจารย์ ตอนเย็นกลับมาน้องชายบอกว่า มันตายแล้ว พ่อเอาไปทิ้งเมื่อเช้า ตัวเย็นแข็งไปหมด มันคงตายตั้งแต่ดึกแล้ว ตายโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย

จากนั้นมาผมก็เพิ่มความเอาใจใส่แม่มันกับไอ้ตัวเล็กขึ้นอีก

จนกระทั่งเมื่อวานซืน ตอนหัวค่ำ ผมเอาข้าวมาให้มันกิน เห็นมันหายไป เดินหาทั่วซอยก็ไม่เจอ คิดว่ามันคงจะออกไปเดินเที่ยว เคยเห็นมันเดินไปร้านข้าวต้มที่ถนนก็ไม่ได้คิดอะไร

เมื่อวานตอนเช้า มันวิ่งมาคลอเคลีย

ตอนบ่ายมันซึม นอนน้ำลายฟูมปาก อาการเดียวกันกับไอ้ตัวใหญ่ไม่มีผิด ผมกลัวครับ กลัวว่ามันจะตาย

แล้ววันนี้ มันก็ตาย...

มันถูกวางยา ...

มันเป็นลูกหมา...ตัวเล็กๆ...ขาเป๋...

คนเหี้ยกว่าเหี้ยในสภาที่ไหนทำมันได้ลงคอ

มนุษย์มักมองตนว่าเป็นผู้ประเสริฐ ดีกว่าเดรัจฉานทั้งปวงตรงที่สามารถควบคุมตนได้ หมากัดแมวเพราะมันไม่รู้ ไม่คิด แต่คนล่ะครับ คิดก่อนหรือเปล่าที่จะวางยา ถ้าไม่คิดก็คงเป็นเดรัจฉาน แต่ถ้าคิด มันเรียกสิ่งมีชีวิตที่ไร้ความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร
ถ้าเป็นหมาใหญ่ขี้รำคาญ มันก็แค่เห่า แค่ขู่ วิ่งไล่ให้ออกไปห่างๆ อย่างมากก็ตั้งท่าจะกัด ลูกหมามันก็กลัววิ่งหนีไปแล้ว
แต่พวกที่ใช้วิธีตัดรำคาญหมาด้วยการวางยาเนี่ย มันเป็นวิธีของมนุษย์หรือครับ

ปล. ผมไม่ได้ร้องไห้
ปล. ผมไม่ได้เสียดาย
ปล. ผมแค่เสียใจกับคนที่เสียความเป็นมนุษย์ไปกับการทำบาป
ปล. ลักกี้มันหงอยไปเยอะครับ เห็นมันร้องงื้ดๆ หาลูกมันด้วย

ปล.

สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
อพฺยาปชฺชา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขีอตฺตานํ ปริหรนฺตุ จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล
กุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดาครูอาจารย์
ทั้งวงศ์วานญาติมิตรสนิทกัน
ผู้เคยร่วมทำงานการทั้งหลาย
ขอให้มีส่วนได้ในกุศลผลของฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัน
ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้เทอญ...

๐๐๑ : การเมือง เรื่องในมุ้ง


สถานการณ์การเมืองในเมืองไทยแลนด์แดนสยามบ้านเราทุกวันนี้ร้อนระอุคุกรุ่นจริงๆ ครับ
ไม่ว่าจะเป็นข่าวทักษิณด่าพ่อง
สนธิตีหัวแม่ง
สามพรรคนัดตีกัน
หนึ่งพรรคห้อยสิบสี่บอกว่าพวกมึงจะตีกันทำไม หันมาตีกะกูดีฝ่า
ฯลฯ

เดือดร้อนครับ เดือดร้อน ประชาชีดาตำ หัวขาวๆ เขียวๆ แดงๆ ก็เอากะเค้ามั่ง
ท้ากซิ้นนนน อออกไป!!!
ท้ากซิ้นนนน อออกไป!!!

ท้ากซิ้นนนน อออกไป!!!
ท้ากซิ้นนนน สู้ๆ!!!
ท้ากซิ้นนนน สู้ๆ!!!
ท้ากซิ้นนนน สู้ๆ!!!
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ประชาชน กรรมาชีพ นักข่าว ครู และนักเรียนอนุบาล!
ยกพวกออกมา
ท้ากซิ้นนนน อออกไป!!!
ท้ากซิ้นนนน อออกไป!!!
ท้ากซิ้นนนน อออกไป!!!
ท้ากซิ้นนนน สู้ๆ!!!
ท้ากซิ้นนนน สู้ๆ!!!
ท้ากซิ้นนนน สู้ๆ!!!
ประท้วง -- บางคนบอกว่าเป็นการต่อสู้อย่างสันติ ผมเห็นด้วยครับ ที่พลังพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยอะไรนั่นออกมารวมพลกัน ต่อสู้เงียบๆ (เหรอ) โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ ไม่มีการเลือดตกยางออก
ตอนเค้ามีชุมนุมกันที่สนามหลวง ผมก็นอนฟังกะพ่ออยู่ที่บ้าน ฟังผ่านเน็ตครับ เสียงชัดแจ๋วดี แม้จะเป็นเน็ต 56 k เหี้ยๆ พร้อมกับฟังสุดารัตน์แก้ตัวให้ทักษิณในถึงลูกถึงคน ฟังมันตีกันด้วยคำพูด สนุกดี
--แต่มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องแล้วเหรอครับ ที่ให้คนนั้นคนนี้มาด่าว่านายกเหี้ยอย่างงั้นเหี้ยอย่างงี้
แล้วนายก ไม่ใช่สิ รักษาการนายก ก็ไม่ทำเหี้ยให้อะไรมันดีขึ้น

ผมชอบรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครับ
ตอนที่ยังอยู่ช่องเก้า ผมดูแต่การ์ตูน ไม่สนมัน การเมืองสำหรับผมตอนนั้นก็แค่เกมที่ผู้ใหญ่เค้าเล่นกัน ดูโงกุนสู้กันยังมันกว่า
ต่อมา มันถูกแบนออกจากผังช่องเก้า ผมก็ยังไม่สนมัน ดูโงกุนสู้กันยังมันกว่า
ต่อมา บ้านผมติดเคเบิล เมืองไทยรายสัปดาห์ถ่ายทอดทาง ASTV พ่อผมดู ผมก็เลยดูมั่ง ทำให้ตอนนั้นผมไม่ชอบทักษิณเลย เพราะผมเห็นว่าหลักฐานที่สนธิเอามานั้นโคตรหนักแน่น แก้ตัวยังไงก็ไม่หลุด แล้วก็ไม่มีพรรคพวกนายกคนไหนมาตอบคำถามที่สนธิถามแม้แต่นิดเดียว ถึงตอบก็ไม่ตรงคำถาม ดีแต่แก้ตัวเบี่ยงไปเบี่ยงมาว่าไอ้พวกสนธิดีแต่ด่า ดีแต่เห่าอยู่ที่ธรรมศาสตร์ อยู่ที่สวนลุมฯ
ถ้าไม่มีมูลหมามันจะขี้เหรอครับ
ต่อมา สนธินำพรรคพวกไปชุมนุมหน้าทำเนียบ ความจริงเค้าน่าจะรู้ว่าเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง คนมันจะควบคุมไม่ได้ แต่เค้าก็ยังพาคนไป แล้ว...
หนี? "ผมจะรีบไปประชุมครับ" แล้วชิ่ง?
พวกผู้ชุมนุมก็ทำสิ่งที่ผมเห็นว่าเหี้ยสุดๆ นั่นคือ บุกทำเนียบ
บุกตอนวันเด็ก!
นี่หรือครับ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ จะให้เด็กอย่างพวกผมมองยังไง
นั่น ทำให้ผมมองการเมืองทุกวันนี้อย่างเป็นกลางมากขึ้น

ทักษิณทำถูกกฎหมาย แต่ผิดจริยธรรม ผมรู้
ดวงอาทิตย์อับแสงสองดวงเคยขึ้น ณ ไทยรักไทย ผมก็รู้
สนธิ เคยเป็นลิ่วล้อทักษิณ เคยโกงอย่างถูกกฎหมาย เคยล้มละลายตอนฟองสบู่แตก ผมก็รู้ (อ๊ะๆ อย่าถามว่ามึงรู้ได้ไง -- ม่ายบอก)
เสนาะเคยโกง เคยกิน เคยรับสินบน ผมก็รู้
ประชาธิปัตย์ เคยดีแต่พูด พูดจาเชือดเฉือนเลือดออกซิบๆ เป็นมีดโกนอาบน้ำผึ้ง แต่ไม่ทำอะไรแม่งซักอย่าง ผมก็รู้
ทักษิณยุบสภาชาติหน้าตอนบ่ายๆ ผมก็... เอ๊ะ ชาติหน้าหน้ามาถึงแร้ววววววว

แต่เมื่อวาน ที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พูดมา ผมว่าเข้าท่าว่ะ
ขอให้ทุกคนถอยกันคนละก้าว
ในเมื่อฝ่ายนึง เชื่ออย่างนึง
อีกฝ่ายนึงก็เชื่ออีกออย่างนึง
แล้วมันเป็นความเชื่อที่ชวนตีกัน ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ทางเดียวที่จะทำให้ไทยแลนด์ของเราเป็นตัวเดียวอันเดียวกันได้ ก็มีแต่ถล่มความคิดของฝ่ายหนึ่งให้ราบซะ

แล้วประเทศไทยจะเป็นยังไงล่ะครับพี่น้อง

ดังนั้นก่อนที่มันจะถึงเวลาที่ "ปล่อยเป็นหยั่งงี้ต่อไป"
ถอยกันดีกว่าครับ และการที่ทุกคนจะถอยกันอย่างเท่าเทียมกันได้นั้น บิ๊กบอสของบิ๊กบอสของบิ๊กบอสของ...ฯลฯ ของประเทศด้ามขวานแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้เป็นผู้ใหญ่ อยู่นำหน้าที่สุดต้องถอยก่อน
ครับ ท่านทักษิณ กรุณาถอยสักก้าวเถอะครับ
อ๊ะๆ ถ้าจะเถียงว่าผมถอยแล้วด้วยการยุบสภานะ
นั่นไม่ใช่การถอยครับ ท่านถอยด้วยความรู้สึกที่ว่ากูไม่ผิด พวกมึงที่เห็นตรงข้ามกะกูนั่นแหละผิด นั่นแหละครับที่ทำให้เกิดการแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง นั่นถือเป็นการโยนฟืนชุบน้ำมันก๊าดใส่กองไฟเลยล่ะครับ

สมมุตินะครับสมมุติ
สมมุติว่าทักษิณลาออก
สมมุติว่าสนธิหยุดด่าทักษิณ (แต่ถ้าจะเป็นยามเฝ้าแผ่นดินต่อไปเพื่อตรวจตาไอ้อีทุกผู้นามที่มันทำชั่ว ผมก็ไม่ว่า) (<< ยามรึหมอวะ)
สมมุติว่าประชาชีดาตำ หัวขาวๆ เขียวๆ แดงๆ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน กรรมาชีพ นักข่าว ครู และนักเรียนอนุบาล หลอมความคิดเป็นหนึ่งเดียว ว่า เราจะทำดีเพื่อในหลวง หยุดประท้วง แล้วเอาเวลาไปทำงาน เรียน ศึกษา ทำเหี้ยอะไรก็ได้ ทำมาหากิน เขียนข่าว สอน และเรียน เพื่ออนาคตของชาติสยามเมืองยิ้ม สมมุติว่าเสนาะ สุดารัตน์ อภิสิทธิ์ อภิรักษ์ บรรหาร ชวลิตร แซม ยุรนันท์ ฯลฯ หันมาบริหารบ้านเมืองอย่างสุจริต
สมมุติว่าในหลวงชื่นใจกับการที่คนไทยทุกคนปรองดองกัน
ฉะนั้น ฉะนี้ ฉะโน้น ไฉน ไทยแลนด์แดนสยามจะไม่เจริญจนลุงแซมมองตาค้างด้วยความอิจฉา!
ปล. ยาวว่ะแม่ง
ปล. พรุ่งนี้ จะเป็นไงมั่งว้า พันธมิตรคนเกลียดทักษิณขี้ฉ้อจะไปชุมนุมกัน
ปล. โคตรชอบงิ้วธรรมศาสตร์เลยว่ะ ฮาโคตร ว่างๆ ไปหาโหลดได้จากเว็บผู้จัดการออนไลน์นะครับ
ปล. ถ้าจะโหลดไอ้ข้างบนแนะนำให้พวกเน็ตชะตากรรมเดียวกะผม T-T ไปขโมยเน็ตพวกไฮสปีดโหลดนะครับ วิ่งจ้วดดด
ปล. อ่านจนจบแล้วบางคนถามแล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรจะมุ้งวะ คำตอบคือ ผมนอนฟังเรื่องพวกนี้ในบ้าน ในห้อง ในห้องนอน ที่หน้าต่างติดมุ้ง(ลวด) ฮา..(<< อ้าว ไม่ฮาเหรอ สัตว์ )