วันจันทร์, มกราคม 18

๐๒๖ | แม้ฟ้าไร้จันทร์ แต่ฝันไม่ไร้ไฟ

งานเฮลไนท์ผ่านมาหลายวันแล้ว
แต่ความทรงจำยังแจ่มชัดในใจ ยังใหม่สดเสมอ

เคยรู้สึกไหม ว่าบางครั้ง สิ่งที่พบเจอ ก็เป็นเหมือนดังฝัน
ที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านเลยไป
เหลือประทับไว้ เพียงความทรงจำจางๆ

แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าสิ่งที่พบเจอมันเป็นเรื่องจริงมากกว่าทุกคราว
ไม่เหมือนฝัน... เพราะความจริง ดีกว่านั้นมากมายนัก

ก่อนวันงาน พวกเราเตรียมงานกันหนักมาก
ทั้งการแสดง กิจกรรม เกมซุ้มแต่ละบ้าน
คืนสุดท้าย ก่อนกลับไปนอน
เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เดือนแรม
นึกในใจว่า พรุ่งนี้ต้องมีจันทร์แจ่มประดับงานแน่เลย
หวังว่าท้องฟ้า จะมอบของขวัญให้พวกเรา




รุ่งขึ้นตื่นนอน แวะไปช่วยงานที่บ้านนิดหน่อย
เดินมองท้องฟ้าไปตลอดทาง แหม มันขาวสะอาดสะอ้านดีจริงๆ เมื่อวานฟ้ายังใสอยู่เลย
ทุกคนคงสังเกตถึงประเด็นนี้ ก็มีพิธปักตะไคร้ไปตามระเบียบ

ตกบ่าย สีฟ้าเริ่มปรากฏ
ทุกคนเริ่มใจชื้น ทำงานกันอย่างกระปรี้กระเปร่า
สาธุ อานุภาพตะไคร้ศักดิ์สิทธิ์



ซุ้มบ้านข้าพเจ้าเอง :22:



ซุ้มบ้านชาวบ้าน (โดยสังเขป)



บรรยากาศหน้าเวที

และแล้ว เวลาหกโมงเย็นก็มาถึง
ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมากจากทั่วทุกสารทิศ (เว่อร์)

แต่ทว่า...

พอเริ่มมืดปั๊บ ฝนก็กระหน่ำลงมาดั่งนัดกันไว้
ท่ามกลางเสียงงึมงำหาคนปักตะไคร้ที่เริ่มดังระงมทั่วงาน
แหม่ มันช่างตกได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมีท่าทีจะตก
ทีอีวันที่ฉันไม่อยากให้ตกละก็ตก แถมตกเยอะเสียด้วย
เครื่องเสียง เวทีเลยเป็นอันต้องพับเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวไฟดูดปากแล้วจะหาว่าไม่เตือน
(มารู้ทีหลังจากอ.กวีชาตย์ว่าถ้าเอาเต็นท์ไปตั้งตรงมิกเซอร์(?) ฝนตกนิดหน่อยเล่นได้สบายบรื๋อ)

นึกเบื่อๆ เซ็งๆ เลยมองไปที่ซุ้มตรงข้าม
(กรุณานึกภาพตามแบบสโลว์โมชัน)

.

.

.

.

.






:07:

เฮ้ย พี่จุ้ยมาแล้ว!!


ความตื่นเต้นโถมทับทวี
ลังเลอยู่นานมากว่าจะเข้าไปดีไม่ไปดี
ทั้งๆ ที่อุตส่าห์แบกหนังสือขนซีดีมาขอลายเซ็นตั้งหลายเล่ม

ตอนนี้เพิ่งเริ่มงาน ฝนตก คนหรอมแหรม พี่จุ้ยก็เริ่มนั่งเอกเขนก
เอาวะ เข้าไปหวัดดีหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง
เลยเดินฝ่าสายฝนเข้าไปทักทาย ยกมือไหว้หวัดดี
ถามพี่จุ้ยว่า สมุดกับโปสการ์ดถึงมือหรือยัง
พี่จุ้ยว่าได้แล้ว พี่เอาหนังสือมาให้บุ๊คเล่มหนึ่งด้วย
เลยได้รับ "เราพบกันเพราะหนังสือ" หนึ่งเล่มถ้วน
เป็นปลื้มมม

นั่งคุยกับพี่จุ้ยอยู่พักใหญ่ เลย
ได้รู้จักพี่เฑียร ธรรมดาด้วย
พี่เฑียรเขียนหนังสือ รู้ทันสันดาน Tense กับพวกหนังสือท่องเที่ยว
น่าสนุกเชียวแหละ วันหลังต้องไปหามาอ่านบ้าง

ฝนไม่หยุดตกเสียที
พี่จุ้ยขอตัวไปเดินเล่น เพื่อนที่เป็นคนดูแลคณะกรรมการเลยเดินไปเป็นเพื่อน
อาจารย์กวีชาตย์เพิ่งมาถึง
เอาล่ะสิทีนี้ กรรมการมีสามคน แต่มีคนดูแลอยู่สอง
ฉันเลยจับพลัดจับผลูกลายเป็นเสมือนผู้ดูแลฯ ไปด้วยอีกคน
ปลื้มมากเข้าไปอีก




ฝนตกพรำๆ อยู่ราวสองชั่วโมงกว่า
และก็เป็นสองชั่วโมงที่ได้คุยกับพี่จุ้ย พี่เฑียร อ.กวีชาตย์ (ยังไม่รู้ชื่อเล่นอาจารย์เสียทีแฮะ)
รู้สึกเหมือนเห็นเด็กชายสมจุ้ยกระโดดออกมาจากรอยยิ้ม จากแววตาพี่จุ้ย
ตอนเดินเล่นเกมซุ้ม ตอนมองชิงช้าสวรรค์
พี่เฑียรขึ้นไปนั่งเล่นอยู่หลายรอบ ถามพี่จุ้ยไม่ขึ้นมั่งหรือ
พี่จุ้ยบอกว่าชอบนะ แต่ยังไม่นึกสนุก เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า
แล้วเลยได้คุยกันเรื่องเพลงชิงช้าสวรรค์ ที่พี่ท่านว่าบรรยากาศแบบนี้มันต้องมีเพลง

คุยไปคุยมา เสาไฟ(เหมือนไฟงานวัด)ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักก็ดันชอร์ตขึ้นมา
แถมอยู่ในรัศมีที่คนบนชิงช้าไม่ต้องสังเกตก็เห็น ประกายไฟงี้ยังกะดอกไม้ไฟ
แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ไฟดับพรึ่บทั้งงาน
โดยที่พี่เฑียรยังอยู่บนชิงช้า ฮาครืนเลยทีนี้
โชคดีที่ชิงช้าสวรรค์เขาใช้เครื่องปั่นไฟ เลยยังหมุนได้อยู่
นึกว่าพี่เฑียรจะลงรอบนี้ ที่ไหนได้ ยังนั่งเล่นต่ออีก
ถ้าเป็นฉันน่ะรึ หึหึ...
แหกปากลงตั้งแต่เห็นประกายไฟแล้ว อืมมมมห์





แล้ว...
ฝนก็หยุดสนิท
พระจันทร์ที่หวังเอาไว้ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้า
แต่แสงจ้าจากเวทีก็เรียกความครึกครื้นกลับคืนมาได้ไม่น้อย
วงดนตรีเริ่มแสดงได้ ความฝันของใครหลายคนกำลังเปล่งประกายงดงาม



กรรมการก็ต้องไปทำการของกรรมต่อไป (สำนวนพี่จุ้ย)
ส่วนผู้ดูแลกรรมการ (ชั่วคราว) ก็ต้องจรลีกลับไปทำหน้าที่แม่ค้าดังเดิม



เพราะฝนตก.. การแสดงเลยต้องเลื่อน และถูกตัดไปหลายรายการ
เพราะฝนตก.. งานเลยกร่อยเล็กน้อย เพราะคนมาไม่เยอะ (แต่ดึกๆ ก็คึกคักดี)
แต่ก็เพราะฝนตก... เลยได้ความทรงจำดีๆ เก็บไว้นึกถึงอีกหนึ่งเรื่อง


ราวๆ เที่ยงคืนกว่าเห็นจะได้ ประกวดดนตรีก็เสร็จ
ผลรางวัลพลิกล็อก วงที่ได้ที่หนึ่งคราวที่แล้วได้ที่สองแทน
เหตุเพราะเพิ่มนักดนตรีจนเกินพอดี แถมบริหารเวทีได้ไม่คุ้มค่า
เรื่องบางเรื่อง ยิ่งเพิ่ม กลับยิ่งลด
ถ้ามันเกินเส้นบางๆ ที่เรียกว่า "ความพอดี" ไป

กรรมการจะกลับแล้ว
เดินไปยกมือหวัดดี
ท่านๆ ยิ้ม บอกขอบใจนะ
อันที่จริงแล้ว พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณ

วง MiLD กำลังจะเล่น
เพื่อนชวนไปดู บอกไปเหอะ ขี้เกียจว่ะ
ดูจากโปรเจกเตอร์เอาก็พอแล้ว

ตีสองกว่า งานเลี้ยงก็เลิกรา
ผู้คนกลับหอพร้อมรอยยิ้มแต้มหน้า
แต่เหล่าแม่ค้าพ่อค้ายังต้องอยู่เก็บกวาดสถานที่กันก่อน
ข้าวปลาอาหาร น้ำ ขนม ขนมาแจกกันกิน
เวลาเหนื่อยๆ ลองมีใครสักคนยื่นน้ำเย็นมาให้สักแก้ว
มันชื่นใจหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งจริงๆ

บางที สิ่งที่มีค่าที่สุดของการจัดงานก็อาจไม่ใช่การหาเงินเข้าคณะ
อาจไม่ใช่การได้เจอศิลปินในดวงใจ
แต่อาจเป็นการได้เจอมิตรภาพในหัวใจของกันและกัน.

ป.ล. จริงๆ อยากบันทึกเรื่อง "เร่ขายฝัน" กับ "จิกจุ้ย" ไว้อีกสักเรื่องสองเรื่อง
แต่ตอนนี้ง่วงเหลือเกินแล้ว และพรุ่งนี้ยังต้องตื่นขึ้นมามีชีวิตอยู่ต่อไป
จึงขอจบมหากาพย์เฮลไนท์ไว้แต่เพียงเท่านี้

คราวหน้าฟ้าใหม่คงจะได้เจอกัน